CVO™ Road Glide™
เริ่มต้นที่ ฿3,207,000 MSRP
2024
เริ่มต้นที่ ฿3,207,000
แฟริ่งทรงจมูกฉลาม
แฟริ่งทรงจมูกฉลามคืนชีพขึ้นอีกครั้งพร้อมซิลลูเอทระดับประติมากรรม ไฟ LED ที่ติดตั้งในตัวอย่างสมบูรณ์ และดีไซน์ใหม่ของชิลด์บังลม เราใช้หลักพลศาสตร์การเลื่อนไหลเชิงคำนวณ (CFD) ในการดีไซน์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพระบบแอโรไดนามิก CVO Road Glide จึงผลักสมรรถนะเชิงอากาศพลศาสตร์และความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ไปสู่จุดสูงสุด พร้อมปรับโฉมดั้งเดิมใหม่ให้มีความดุดัน
ไฟ LED ที่เป็นเอกลักษณ์
ชุดไฟ LED แบบเต็มแผงที่ผสานกับตัวรถได้อย่างกลมกลืนจะช่วยปรับทัศนวิสัยให้สูงที่สุด มาพร้อมสัญญาณไฟเลี้ยว และช่วยขับเน้นไลน์การดีไซน์ของแฟริ่งทรงจมูกฉลาม ก่อให้เกิดลุคโดดเด่นเป็นที่จดจำได้ทันทีไม่ว่าในเวลากลางวันหรือกลางคืน
CVO Road Glide ใช้ล้อซี่ลวดขึ้นรูปแบบคอมโบ ขนาด 483 มม. ที่ด้านหน้า และ ขนาด 457 มม. ที่ด้านหลัง พร้อมติดตั้งระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS)
ภาวะลื่นไหล
เรารังสรรค์พื้นผิวบนทุกชิ้นส่วนของ CVO Road Glide ขึ้นใหม่ให้ประณีตงดงามยิ่งขึ้นด้วยการศึกษามอเตอร์ไซค์ในตระกูลเดียวกันหลากหลายรุ่นที่มีมาก่อน รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลภายในอุโมงค์ลม ก่อให้เกิดรูปลักษณ์ที่ไหลลื่นตั้งแต่ปลายบังโคลนหน้าไปจรดส่วนท้ายของกระเป๋าข้าง
กระเป๋าข้าง
นอกเหนือจากไลน์การดีไซน์ที่ดุดันกับโครงสร้างที่แข็งแกร่งของแฟริ่งและถังน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยังมีกระเป๋าข้างมาช่วยเพิ่มความจุสัมภาระโดยรวม พร้อมทั้งเติมเต็มรูปลักษณ์ที่ดุดันของ CVO Road Glide คันนี้
เลือกได้ว่าต้องการสี Copperhead ที่เปลี่ยนสีได้พร้อมลายแถบตกแต่ง Warm-Shift หรือสี Legendary Orange พร้อมส่วนขัดลาย Raven Metallic และ Atlas Silver ไม่ว่าตัวเลือกใดก็มากับชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสีตรงกัน งานกราฟิก CVO ตลอดจนตัวเสริมคอนโซลที่สลักข้อความเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของ CVO
เครื่องยนต์ MILWAUKEE-EIGHT™ VVT 121 V-TWIN
เครื่องยนต์ Milwaukee-Eight VVT 121 คือระบบส่งกำลังที่มีความจุกระบอกสูบสูงที่สุดเท่าที่เคยติดตั้งมาจากโรงงานในมอเตอร์ไซค์ Touring ของ Harley-Davidson โดยมาพร้อมฝาสูบแบบระบายความร้อนด้วยของเหลว วาล์วแปรผัน (VVT) และระบบเดินท่อไอดีแบบใหม่ ความจุกระบอกสูบที่เพิ่มขึ้นจะให้กำลังและแรงบิดมากกว่าเครื่องยนต์ Milwaukee-Eight 117 ขณะที่ VVT จะเพิ่มช่วงค่ากำลังโดยรวมและช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น
น้ำหนักที่เบาลง
CVO Road Glide ปี 2024 เบากว่า CVO Road Glide ปี 2022 ถึง 16 กก. จึงช่วยเสริมสมรรถนะในทุกๆ ด้าน รวมถึงการเร่งความเร็วและการเบรก
ระบบแอโรไดนามิก
เราใช้หลักพลศาสตร์การเลื่อนไหลเชิงคำนวณ (CFD) และการวิเคราะห์ภายในอุโมงค์ลมในการพัฒนาชิลด์บังลมกับแฟริ่งตัวใหม่ จึงช่วยลดแรงลมปะทะและความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ ขณะที่ใบพัดแบบปรับได้ก็จะช่วยปรับการไหลของอากาศเพื่อยกระดับความสบายไปอีกขั้น
โช้ค SHOWA™ แบบหัวกลับขนาด 47 มม. แบบใหม่และโช้คระดับพรีเมียมพร้อมระยะยุบตัว 76.2 มม. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมและความสบายของผู้ขับขี่
ยิ่งมีท่อเก็บเสียงไอเสียกว้าง 114.3 มม. และงานเคลือบสีระดับพรีเมียม ระบบไอเสียแบบ High-flow นี้ก็จะยิ่งช่วยให้เครื่องยนต์มีสมรรถนะสูงขึ้น พร้อมให้เสียงและสไตล์ที่ดียิ่งขึ้น
ดิสก์เบรกคู่หน้าพร้อมคาลิปเปอร์เบรก 4 ลูกสูบติดตั้งแบบเรเดียลจาก Brembo™ ที่ด้านหน้า และคาลิปเปอร์เบรก 4 ลูกสูบแบบเดี่ยวที่ด้านหลังช่วยให้สัมผัสและประสิทธิภาพในการเบรกโดยรวมที่ดียิ่งขึ้น
SKYLINE™ OS
ประสบการณ์บนแดชบอร์ดที่ปรับแต่งได้มาพร้อมระบบการนำทาง ตัวเลือกการแสดงผลที่ไม่ซ้ำกัน 3 แบบ ตลอดจนตัวเลือกชุดอินโฟเทนเมนต์ที่เชื่อมต่อกันในรูปแบบใหม่ทั้งหมดและขับเคลื่อนโดย Skyline OS ของ Harley-Davidson
โหมดการขับขี่
โหมดการขับขี่จะช่วยเสริมการควบคุมและความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ในหลากหลายสถานการณ์ โดยจะคอยควบคุมลักษณะการทำงานและระดับการเข้าแทรกแซงของเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยโดยอัตโนมัติ โหมดการขับขี่แต่ละโหมด (Road, Sport, Rain, Custom) จะมาพร้อมการตั้งค่าที่ผสานการทำงานของระบบส่งกำลัง ระบบเบรกเครื่องยนต์ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อกขณะเข้าโค้ง (C-ABS) และระบบควบคุมการยึดเกาะขณะเข้าโค้ง (C-TCS) แบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
จอแสดงผล TFT ขนาด 312 มม.
ระบบนำทางและระบบอินโฟเทนเมนต์จะอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว เมื่อมีนกรรมล่าสุดสำหรับการเชื่อมต่อของผู้ขับขี่อย่างหน้าจอสี TFT คมชัดแบบทัชสกรีนขนาด 312 มม.
ระบบเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยของผู้ขับขี่
เพราะดีไซน์ที่ตั้งใจให้ยึดเกาะได้เต็มที่ขณะเร่งความเร็ว ชะลอความเร็ว และขณะเบรก ตัวระบบจึงใช้การควบคุมแชสซี ระบบควบคุมเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีของระบบส่งกำลังรุ่นล่าสุด เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ไม่ว่าจะเจอสภาพถนนแบบใดก็ตาม
ระบบเสียงพรีเมียม
CVO Road Glide มาพร้อมระบบเสียงระดับพรีเมียม Rockford Fosgate™ Stage II ที่มีแอมป์ขยายเสียง RMS สี่แชนแนล กำลังไฟ 500 วัตต์ เพื่อมอบพลังเสียงให้กับลำโพงที่ติดตั้งบนแฟริ่งและกระเป๋าข้าง